นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทยว่า ได้หารือประเด็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้ประชาชน 56 ล้านคน ใช้วงเงินรวม 560,000 ล้านบาท เป็นโครงการที่ กกรคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง. สนับสนุน แต่ขอให้จำกัดเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย เช่น ใช้ฐานข้อมูลจากผู้ที่เคยได้รับสวัสดิการของรัฐในแอปพลิเคชันเป๋าตังประมาณ 40 ล้านราย ซึ่งรัฐควรพิจารณาข้อมูลเชิงลึกจากจุดนี้ด้วย เพื่อนำงบประมาณที่เหลือประมาณ 160,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่เกินความจำเป็นนำไปบริหารจัดการน้ำแทน
“กกร. เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายที่แจกเงินดิจิทัลที่รัฐบาลมองไว้ 56 ล้านคนนั้น ควรจะจำกัดการสนับสนุน เพราะอย่างผม 3 คน ที่แถลงข่าวอยู่นี้ก็ไม่จำเป็นต้องรับ ควรมองกลุ่มเป้าหมายที่ตอบโจทย์ เมื่อเราจำกัดการช่วยเหลือ และให้สนับสนุนใช้จ่ายสินค้าที่ผลิตในประเทศ (โลคัล คอนเทนต์) ไม่เช่นนั้นบางส่วนอาจไปซื้อแต่สินค้านำเข้า ส่วนวงเงินที่เหลือ ควรนำไปพัฒนาบริหารจัดการน้ำเพิ่มขึ้น เพราะปีนี้น้ำใช้ได้จริง เดือน ต.ค. 66 มีอยู่ 54% ต่ำกว่าในช่วงเดียวกันของปี 65 ที่อยู่ 66% หากเกิดแล้งต่อเนื่องน้ำต้นทุนจะเหลือน้อยโดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ต้องเร่งบริหารจัดการ”
นอกจากนี้ กกรคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง. ยังหารือถึงประเด็นค่าเงินบาทที่อ่อนค่าขณะนี้แม้ว่า จะส่งผลดีต่อการส่งออก และการท่องเที่ยวแต่จะกระทบต่อการนำเข้าโดยเฉพาะน้ำมัน และวัตถุดิบ ดังนั้นรัฐควรจะบริหารจัดการให้ค่าเงินไม่ผันผวนจนเกินไปค่าเงินบาทที่เหมาะสมจึงควรอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐบวกลบ ขณะที่กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 66 เดือน ก.ย. กกร.ยังคงกรอบเดิมโดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี จะเพิ่มขึ้น 2.5-3% ส่งออก ติดลบ 2 ถึง ติดลบ 0.5% เงินเฟ้อ 1.7-2.2% เพราะคาดว่า มาตรการวีซ่าฟรีจีนและคาซัคสถานของรัฐ จะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มแตะ 29-30 ล้านคนในปีนี้
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทยในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่อ่อนค่ามาจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงซึ่งไม่ใช่เพียงไทยหลายประเทศก็มีการอ่อนค่าของค่าเงินที่สูงเช่น เกาหลีใต้ อย่างไรก็ตามทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ส่งสัญญาณการหมดรอบของการขึ้นดอกเบี้ยแล้วแต่คงต้องดูทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ว่าจะกลับมาขึ้นอีกปลายปีจึงถือเป็นความท้าทาย อย่างไรก็ตาม กกร. เห็นว่า การช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ให้เข้าถึงสินเชื่อมีความจำเป็นมากกว่าการพักชำระหนี้ กกร. จึงเสนอให้รัฐบาลใช้กลไก บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ขยายประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอีเพิ่มอัตราการค้ำประกันจาก 30% เป็น 50-60% โดยบูรณาการการใช้กองทุนของ สสว. เป็นองค์รวมช่วยสนับสนุนค่าธรรมเนียมการค้ำประกันลดต้นทุน
“รัฐบาลเคยทำนโยบายรัฐสวัสดิการแห่งรัฐก็จะมีรายชื่ออยู่ในระบบอยู่แล้วราว 40 ล้านคน กกร. ก็เห็นว่าเงินดิจิทัลหมื่นบาทควรประหยัดงบส่วนนี้ได้ แทนที่จะแจกทั้งหมดแล้วนำไปจัดการน้ำ และมองว่าประโยชน์สูงสุดก็คือต้องเน้นการซื้อที่ดูเรื่องการใช้ชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบในประเทศ”
นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโส สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กกร. มีความกังวลถึงการปรับขึ้นค่าจ้างขึ้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ที่เห็นว่า ไม่ได้มองพื้นฐานด้านเศรษฐกิจโดยควรให้ทางคณะกรรมการค่าจ้างกลางหรือไตรภาคีเป็นฝ่ายพิจารณาตามกฎหมายที่กำหนด เพราะแม้แต่จังหวัดก็มีบางอำเภอที่มีความสามารถในการจ่ายเท่านั้น และการขึ้นในอัตราดังกล่าวถือว่าสูงมาก เอสเอ็มอีมีกำไรไม่มาก หากต้นทุนเพิ่มก็จะยิ่งเดือดร้อน